การกำกับดูแลกิจการที่ดี และจรรยาบรรณธุรกิจ
การกำกับดูแลกิจการ

การกำกับดูแลกิจการที่ดีรวมถึงการดำเนินงานอย่างสุจริตและโปร่งใสเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำเนินกิจการและการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัท แพลนบียึดมั่นในแนวทางการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการกับดูแลกิจการและจริยธรรมทางธุรกิจที่ดีเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้มีส่วนได้เสีย

แพลนบี จึงได้กำหนดโครงสร้างการประกอบธุรกิจ ระบบบริหารจัดการ และระบบการกำกับดูแลกิจการที่สนับสนุนและสอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“สำนักงาน ก.ล.ต.”) ข้อแนะนำของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทยและมาตรฐานสากลต่างๆ

เพื่อเสริมสร้างความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการกำกับดูแลกิจการ บริษัทได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการจัดประชุมคณะกรรมการประจำปี 2568 ซึ่งมีการประชุมรวมทั้งสิ้น 6 ครั้ง แบ่งเป็นการประชุมแบบพบหน้า (Physical Meeting) จำนวน 2 ครั้ง และการประชุมผ่านแบบพบหน้าและผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Hybrid Meeting) จำนวน 4 ครั้ง โดยมีอัตราการเข้าร่วมประชุมของกรรมการครบถ้วนคิดเป็นร้อยละ 100 แสดงถึงความตั้งใจและความรับผิดชอบของคณะกรรมการบริษัทในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทยังได้กำกับดูแลให้บริษัทดำเนินงานสอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีในทุกมิติ ทั้งความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น การเคารพสิทธิของผู้มีส่วนได้เสีย การเปิดเผยข้อมูลอย่างเพียงพอและโปร่งใส ตลอดจนการกำกับดูแลที่เป็นอิสระ อันเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการดำเนินธุรกิจให้มีความมั่นคง โปร่งใส และสามารถสร้างคุณค่าให้กับองค์กรและผู้มีส่วนได้เสียอย่างยั่งยืน

คณะกรรมการบริษัทจัดให้มีการประเมินผลการปฏิบัติงานตนเอง (Self-Assessment) เป็นประจำทุกปี เพื่อใช้เป็นกรอบในการตรวจสอบการปฏิบัติงานในหน้าที่ของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการผู้จัดการ และคณะกรรมการ รวมทั้งพิจารณาทบทวน ประมวลข้อคิดเห็นประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบริษัทและการปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างปีที่ผ่านมาเพื่อนำมารายงานต่อคณะกรรมการบริษัทเป็นประจำทุกปี

โดยผลการปฏิบัติงานของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ซึ่งผลการประเมินประจำปี 2568 อยู่ที่ 97.78 คะแนนจากคะแนนเต็ม 100 แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น ความสามารถ และความรับผิดชอบอย่างสูงสุดต่อองค์กร

ทั้งนี้สามารถศึกษารายละเอียดคะแนนเพิ่มเติมได้ใน รายงานประจำปี และรายงานความยั่งยืน

แพลนบีตระหนักดีว่าการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและยึดมั่นในจริยธรรมทางธุรกิจที่ดี เป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์กร รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ด้วยเหตุนี้ คณะกรรมการบริษัทจึงได้จัดทำและประกาศใช้ "คู่มือการกำกับดูแลกิจการและจริยธรรมทางธุรกิจ" เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานทุกระดับของบริษัท รวมถึงบริษัทย่อย โดยคู่มือดังกล่าวครอบคลุมข้อกำหนดสำคัญหลายด้าน ได้แก่

  • การเคารพสิทธิมนุษยชน
  • การปฏิบัติต่อคู่ค้าและคู่แข่งทางการค้าอย่างเป็นธรรม
  • การปฏิบัติต่อเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเหมาะสม
  • ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
  • การดูแลด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
  • การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน
  • การป้องกันการฟอกเงิน
  • การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอย่างเหมาะสม
  • การไม่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
  • การรักษาความลับและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
  • การซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน
  • การจัดการความขัดแย้งทางผลประโยชน์
  • การรายงานและแจ้งเรื่องร้องเรียน รวมถึงการกำหนดบทลงโทษในกรณีที่ฝ่าฝืน

ทั้งนี้ กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานทุกระดับได้ลงนามรับทราบและยืนยันการปฏิบัติตามคู่มือการกำกับดูแลกิจการและจริยธรรมทางธุรกิจดังกล่าว เพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่โปร่งใส มีความรับผิดชอบ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

การอบรมจริยธรรมทางธุรกิจ (ร้อยละ) ปี 2565 ปี 2566 ปี 2567
พนักงานเข้าอบรม 100 100 100
พนักงานผ่านการทดสอบ 100 100 100
คะแนนเฉลี่ยของพนักงาน 100 100 100

ในปี 2567 บริษัทไม่พบกรณีการละเมิดวินัยที่เกี่ยวข้องกับจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ โดยมีรายละเอียดดังนี้

การฝ่าฝืนจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ (กรณี) ปี 2565 ปี 2566 ปี 2567
จำนวนกรณีการฝ่าฝืนจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจที่ได้รับทั้งหมด
- จำนวนกรณีการฝ่าฝืนที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง 0 0 0
- จำนวนกรณีการฝ่าฝืนที่อยู่ระหว่างการดำเนินการสอบสวน 0 0 0
- จำนวนกรณีการฝ่าฝืนที่ได้รับการแก้ไขแล้ว 0 0 0
จำนวนกรณีการฝ่าฝืนจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจแบ่งตามประเภท
- ฝ่าฝืนกฎบังคับ 0 0 0
- การทุจริตคอร์รัปชัน หรือติดสินบน 0 0 0
- การละเมิดความเป็นส่วนตัว 0 0 0
- การเลือกปฏิบัติ 0 0 0
- การล่วงละเมิดทางเพศ 0 0 0
- การล่วงละเมิด 0 0 0
- ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ 0 0 0
- การฟอกเงิน หรือการใช้ข้อมูลภายใน 0 0 0
- อื่นๆ 0 0 0

ทั้งนี้ แพลนบี มุ่งเน้นเสริมสร้างความเข้าใจของพนักงานให้สามารถปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการและจริยธรรมทางธุรกิจที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง โดยพนักงานเข้าใหม่และพนักงานปัจจุบันทั้งหมดของแพลนบีจะต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ผ่านนโยบายและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับคู่มือการกำกับดูแลกิจการ พร้อมทำแบบทดสอบหลังการเรียนรู้ทุกคน โดยพนักงานทุกคนได้รับการอบรมในปี 2567 และผ่านการทดสอบด้วยคะแนนเต็มร้อยละ 100 ทุกคนในทุกระดับของพนักงานตั้งแต่ผู้บริหาร ผู้จัดการ หัวหน้างาน ไปจนถึงพนักงานระดับปฏิบัติการ

การจัดการและ บริหารความเสี่ยง

บริษัทตระหนักดีว่าการจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากบริษัทย่อมต้องเผชิญกับความเสี่ยงหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงทางการค้า สินทรัพย์ กฎหมาย สิ่งแวดล้อม สุขภาพและความปลอดภัย การหยุดชะงักทางธุรกิจ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริษัทได้ใช้แนวคิดแบบบูรณาการในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อระบุและจัดลำดับความสำคัญของประเด็นต่างๆ โดยใช้ข้อมูลจากมุมมองของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ดำเนินงานในหลากหลายมิติตลอดห่วงโซ่คุณค่า ทิศทางของอุตสาหกรรมสื่อโฆษณา ตลอดจนแนวโน้มด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ การจัดลำดับความสำคัญความเสี่ยงถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของแพลนบี

บริษัทได้กำหนดกรอบการบริหารความเสี่ยงองค์กรตาม The Committee of Sponsoring Organization of the Tradeway Commission (COSO) ซึ่งมีการใช้ทั่วทั้งองค์กรผ่านการดำเนินตามนโยบายการบริหารจัดการความเสี่ยงของบริษัทกับพนักงานทุกระดับ คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงของบริษัท (RMC) ได้กำหนดนโยบายและกรอบการบริหารความเสี่ยงองค์กร โดยมีคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง (RMC) เป็นผู้รับผิดชอบในการควบคุมดูแลความเสี่ยงตามกรอบและนโยบายที่กำหนด ในขณะเดียวกันฝ่ายบริหารความเสี่ยงจะเป็นผู้สนับสนุนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความเสี่ยง ซึ่งหมายรวมถึงการรวบรวมข้อมูล การจัดฝึกอบรม และการส่งเสริมวัฒนธรรมการจัดการความเสี่ยงให้เกิดขึ้นทั่วทั้งองค์กร

บริษัทมีการกำหนดนโยบายบริหารจัดการความเสี่ยงที่ครอบคลุมทุกกิจกรรมทางธุรกิจทั้งปัจจัยภายในและภายนอกองค์กร ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยได้วางแผนบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่การวางแผนกลยุทธ์ การปฏิบัติงาน การตัดสินใจลงทุนเพื่อทำธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงการควบคุมและติดตามเพื่อให้ความเสี่ยงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ดังนั้นคณะกรรมการบริษัทจึงได้แต่งตั้ง คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง (Risk Management Committee) โดยมีหน้าที่และความรับผิดชอบดังนี้

1

กำหนด และทบทวน นโยบาย กรอบการบริหารความเสี่ยงองค์กร

2

กำกับดูแล และสนับสนุนให้มีการดำเนินงานด้านการบริหารความเสี่ยงองค์กร สอดคล้องกับกลยุทธ์และเป้าหมายทางธุรกิจ รวมถึงสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

3

ให้ข้อเสนอแนะแนวทาง ติดตาม และประเมินผล การบริหารความเสี่ยงต่อคณะทำงานบริหารความเสี่ยง (Risk Management Committee) เพื่อนำไปดำเนินการ

4

พิจารณารายงานผลการบริหารความเสี่ยงองค์กร และให้ข้อคิดเห็นในความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งแนวทางการกำหนดมาตรการควบคุมหรือบรรเทา (Mitigation Plan) และการพัฒนาระบบการจัดการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

5

สนับสนุนการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการบริหารความเสี่ยงองค์กร

6

รายงานผลการบริหารความเสี่ยงองค์กรให้คณะกรรมการบริษัทรับทราบ และในกรณีที่มีปัจจัย หรือเหตุการณ์สำคัญซึ่งอาจมีผลกระทบต่อบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ต้องรายงานต่อคณะกรรมการบริษัท เพื่อทราบและพิจารณาโดยเร็วที่สุด

7

พิจารณาสอบทานการลงทุนในต่างประเทศ

8

ปฏิบัติหน้าที่อื่นใดตามที่คณะกรรมการบริษัทมอบหมาย

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกอบด้วยกรรมการและผู้บริหารระดับสูง จำนวน 4 คน ได้แก่

  1. นายมานะ จันทนยิ่งยง กรรมการ กรรมการตรวจสอบ และประธานกรรมการบริหารความเสี่ยง
  2. นางมลฤดี สุขพันธรัชต์ กรรมการ กรรมการตรวจสอบ กรรมการบริหารความเสี่ยง และกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน
  3. ดร.พินิจสรณ์ ลือชัยขจรพันธ์ กรรมการ กรรมการบริหารความเสี่ยง และกรรมการผู้จัดการ
  4. นายอานนท์ พรธิติ กรรมการบริหารความเสี่ยง และกรรมการกำกับดูแลกิจการและความยั่งยืน

ทั้งนี้ หน่วยงานนักลงทุนสัมพันธ์และความยั่งยืนขององค์กรจะเป็นผู้ทวนสอบระดับปฏิบัติการหลังจากได้ทำการประชุมกับตัวแทนหน่วยงานบริหารความเสี่ยง เพื่อคัดกรองระดับความเสี่ยงในแต่ละหัวข้อ และนำหัวข้อที่มีความเสี่ยงสูงและสูงมากเข้ารายงานคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงและคณะกรรมการบริษัทต่อไป เพื่อหารือและหาแนวทางในการแก้ไขร่วมกัน ทั้งนี้ หน่วยงานนักลงทุนสัมพันธ์และความยั่งยืนขององค์กรจะมีการติดตามถึงความเสี่ยง กระบวนการในการบริหารความเสี่ยงของแต่ละแผนกเป็นรายไตรมาส เพื่อนำเสนอให้คณะคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงและคณะกรรมการบริษัททราบเช่นกัน

ความเสี่ยง รายละเอียดความเสี่ยง
ด้านกลยุทธ์
  • ความเสี่ยงจากความผันผวนและการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
  • ความเสี่ยงจากความผันผวนของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงจากสื่อออฟไลน์ไปยังสื่อออนไลน์ที่อาจส่งผลต่อรายได้หลักของบริษัท
  • ความเสี่ยงจากการพึ่งพาสื่อโฆษณาดิจิทัลกลางแจ้งของบริษัท
ด้านการปฏิบัติงาน
  • ความเสี่ยงจากการพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่
  • ความเสี่ยงที่เกิดจากความบกพร่องของกระบวนการภายใน บุคลากร และระบบงานของบริษัทหรือเหตุการณ์ภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้
  • ความเสี่ยงจากการพึ่งพาระบบเทคโนโลยีในการบริหารจัดการจอโฆษณา หากระบบล่มหรือถูกโจมตีทางไซเบอร์ อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน
ด้านการเงิน
  • ความเสี่ยงจากการไม่สามารถต่อสัญญาสัมปทาน หรือสัญญาเช่าพื้นที่หรือสัญญากับพันธมิตรทางธุรกิจ
  • ความเสี่ยงจากการมีภาระผูกพันกับคู่สัญญาที่อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท
  • ความเสี่ยงจากการพึ่งพิงเอเจนซี่โฆษณารายใหญ่
  • ความเสี่ยงเกี่ยวกับสภาพคล่องทางการเงิน การบริหารทางการเงินและงบการเงิน เช่น ความเสี่ยงจากการจัดสรรงบประมาณไม่เหมาะสม ตั้งงบประมาณผิดพลาด และใช้งบประมาณเกินจากที่คาดการณ์ไว้ ความเสี่ยงจากความผันผวนของปัจจัยทางการตลาด ความเสี่ยงจากการที่คู่สัญญาไม่ปฏิบัติตามภาระผูกพัน (Credit Risk)
  • ความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
  • ความเสี่ยงจากความล่าช้าในการชำระเงินจากเอเจนซี่หรือคู่ค้ารายย่อย อาจกระทบกระแสเงินสดหมุนเวียน
ด้านกฎระเบียบ
  • ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งป้ายโฆษณาหรือการขออนุญาตในพื้นที่สาธารณะ ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินโครงการใหม่
ด้านความยั่งยืน (ESG)
  • ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
  • ความเสี่ยงด้านสุขภาพและความปลอดภัยของผู้มีส่วนได้เสีย
  • การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและโครงสร้างประชากร
  • ความเสี่ยงด้านสังคมหากการดำเนินงานในพื้นที่สาธารณะเกิดข้อร้องเรียนจากชุมชน เช่น แสงสว่างรบกวน หรือเนื้อหาสื่อที่ไม่เหมาะสม
  • ความเสี่ยงจากการไม่สามารถควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ เช่น การใช้ไฟฟ้ามาก หรือการบดบังทัศนียภาพ
ระดับความเสี่ยง การดำเนินการ การรายงาน

สูงมาก

ต้องกำกับดูแลใกล้ชิด และเสนอแผนการดำเนินการเพื่อลดระดับความเสี่ยง และมีแผนการติดตามความเสี่ยงจนระดับความเสี่ยงลดลง จนกระทั่งถึงระดับปานกลาง-ต่ำ และขออนุมัติแผนจากคณะกรรมการบริษัท

คณะกรรมการบริษัท (Board of Director: BOD)

สูง

ต้องคอยเฝ้าระวัง และเสนอแผนการดำเนินการเพื่อให้คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงให้ความเห็นในการลดระดับความเสี่ยงให้เป็นไปตามแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยให้มีแผนการติดตามความเสี่ยงจนระดับความเสี่ยงลดลงจนกระทั่งถึงระดับปานกลาง-ต่ำ

คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง (Risk Management Committee: RMC)

ปานกลาง

ใช้วิธีควบคุมปรกติ และเฝ้าระวัง

ผู้บริหารระดับสูง (Chief Executive Officer & Managing Director)

ต่ำ

ใช้วิธีควบคุมปรกติ ไม่ต้องเฝ้าระวัง

คณะทำงาน

แนวทางการบริหารความเสี่ยง

เนื่องจากรายได้มากกว่าร้อยละ 50 ของธุรกิจสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยจะมาจากสื่อโฆษณาดิจิทัล ดังนั้น เพื่อป้องกันโอกาสที่จะสูญเสียลูกค้าที่ซื้อสื่อโฆษณาดิจิทัลบริษัทจึงมีนโยบายให้ทีมขายทุกคนมีความพร้อมทั้งเรื่องของข้อมูลบริษัท ความรู้เชิงลึกในด้านสินค้าและบริการ พร้อมที่จะให้บริการลูกค้าได้ทันอย่างท่วงที รวมถึงพยายามให้ทีมขายขายสินค้าและบริการในสื่ออื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อรองรับและทดแทนหากรายได้ของสื่อโฆษณาดิจิทัลลดลง ทั้งนี้ ในส่วนของความเสี่ยงจากความผันผวนและการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ล้วนเป็นปัจจัยภายนอกที่บริษัทไม่สามารถควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทมีแนวทางในการบริหารจัดการโดยให้พนักงานขายทุกคนมีความกระตือรือร้นอย่างสม่ำเสมอ ศึกษาหาข้อมูลใหม่ๆ เพื่อนำไปเสนอลูกค้า โดยเน้นย้ำให้ทุกคนทำงานเชิงรุก (Proactive)

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแนวทางการบริหารความเสี่ยงเพิ่มเติมจากการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคและเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น การติดตามแนวโน้มของผู้บริโภคและคู่แข่งในอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาอย่างต่อเนื่อง, การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่หรือช่องทางการสื่อสารที่หลากหลาย เพื่อลดการพึ่งพิงสื่อหลักเพียงรูปแบบเดียว และการประเมินความเสี่ยงด้านกลยุทธ์แบบบูรณาการร่วมกับการวางแผนธุรกิจรายปี เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงทีในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

บริษัทตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ โดยคณะกรรมการบริษัทกำหนดนโยบายและกรอบการบริหารความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ และแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อฝ่ายจัดการ เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการในการบริหารความเสี่ยงด้านปฏิบัติการของบริษัทดำเนินการได้อย่างเหมาะสมกับการดำเนินงานธุรกิจ สอดคล้องกับมาตรฐานสากลมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการควบคุม ป้องกัน และลดความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ (Risk Appetite) โดยมีสาระสำคัญ โดยบริษัทมีการพัฒนาระบบ การวัด ติดตาม ควบคุม และรายงานความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ การจัดให้มีระบบการควบคุมภายใน สำหรับการบริหารความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ รวมถึงมีการดำรงเงินทุนสำรองเพื่อรองรับความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ เพื่อให้การบริหารความเสี่ยงด้านปฏิบัติการของบริษัทมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับการดำเนินงานของบริษัท ประกอบด้วย

  1. การระบุความเสี่ยง: บริษัทมีการระบุความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบริษัทอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง หรือทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเสี่ยงด้านปฏิบัติการต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท
  2. การประเมินความเสี่ยง: บริษัทมีการวัดระดับความเสี่ยงของกิจกรรมการดำเนินงานที่บริษัทหรือหน่วยงานระบุไว้ โดยประเมินจากโอกาส/ความถี่ (Likelihood/Frequency) ที่จะเกิดความเสี่ยงและผลกระทบ (Impact) ของความเสี่ยงเพื่อพิจารณาความรุนแรงของความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
  3. การติดตามความเสี่ยง: บริษัทมีการติดตามดูแลกิจกรรมการดำเนินงานและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในและภายนอกบริษัท ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท เพื่อให้สามารถป้องกันและควบคุมเหตุการณ์ความเสียหายได้อย่างทันท่วงที
  4. การควบคุมและลดความเสี่ยง: บริษัทมีการกำหนดกระบวนการในการตอบสนองความเสี่ยงที่ชัดเจนสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Appetite) รวมถึงมีการติดตามประเมินผลการจัดการความเสี่ยง และรายงานให้ผู้บริหารและคณะกรรมการอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีการควบคุมหรือลดความเสี่ยง เช่น การทำประกันภัย การใช้บริการจากผู้ให้บริการสนับสนุนการประกอบธุรกิจ
  5. การจัดเก็บและรายงานข้อมูลความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ: บริษัทมีการจัดเก็บและรายงานข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านปฏิบัติการเพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องทราบถึงแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านปฏิบัติการและสามารถดำเนินการป้องกัน ควบคุม หรือลดความเสียหายได้อย่างทันท่วงที
  6. แผนรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง: บริษัทมีแผนรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับเหตุการณ์ความเสียหายที่เกิดจากปัจจัยต่างๆ ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของบริษัท เช่น ภัยธรรมชาติ การก่อการร้าย ปัญหาในระบบสาธารณูปโภค เพื่อให้บริษัทสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ โดยให้เป็นไปตามนโยบายการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management Policy) ของบริษัท

ทั้งนี้ ในกรณีของความเสี่ยงจากการพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งบริษัทไม่สามารถรับรองได้ว่าลูกค้าของบริษัทกลุ่มนี้จะซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทอย่างต่อเนื่อง และ/หรือ ในปริมาณระดับเดียวกับที่ซื้อในปัจจุบัน ดังนั้น หากลูกค้ารายใดรายหนึ่งหรือทั้งหมดลดประมาณหรือยกเลิกการซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัท อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทได้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น บริษัทมีแผนบริหารจัดการความเสี่ยงดังกล่าว คือ

  1. มุ่งมั่นที่จะสร้างความสัมพันธ์และความพึงพอใจที่ดีกับลูกค้ากลุ่มดังกล่าวด้วยการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคู่ค้า และเน้นการบริการหลังการขายที่เป็นหัวใจสำคัญที่บริษัทดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
  2. ขยายฐานลูกค้าไปยังคู่ค้ารายอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโตทางธุรกิจร่วมกัน
  3. การทำสัญญาซื้อขายเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น การทำสัญญาระยะยาว เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้ายังคงใช้บริการในผลิตภัณฑ์ของบริษัท

รวมไปถึงการตรวจสอบคุณภาพงานติดตั้งและบำรุงรักษาสื่อโฆษณาอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบสถานะจอภาพแบบเรียลไทม์เพื่อลดผลกระทบด้านภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของลูกค้า

บริษัทจัดให้มีการวิเคราะห์คุณภาพและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า มีการทบทวนฐานะทางการเงินของลูกค้าเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอและมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ ในส่วนของความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน อาจจะมีผลต่อบริษัทน้อยและจำกัดเนื่องจากรายได้เกือบทั้งหมดของบริษัทจะเป็นสกุลบาท อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในกรณีที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทต่อเงินสกุลต่างประเทศ บริษัทจะทำการบริหารหนี้สินสกุลเงินต่างประเทศให้มีความเหมาะสมกับรายได้ที่อิงกับสกุลเงินต่างประเทศ ทั้งนี้ การดำเนินการบริหารความเสี่ยงดังกล่าวจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแล อนุมัติ และติดตามผลจากคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายและลดผลกระทบในระดับที่บริษัทยอมรับได้

ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นหนึ่งในเรื่องที่บริษัทให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการแก้ไขปัญหาโรคร้อน ทั้งนี้ รายงานดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศโลกปี 2560 จัดอันดับให้ประเทศไทยติด 1 ใน 10 ประเทศของโลกที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด โดยรัฐบาลไทยประกาศ “แผนการปฏิรูปประเทศ” ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องพัฒนากฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้มีผลบังคับใช้ภายใน 3 - 5 ปีจะต้องกำหนดกลไกที่เหมาะสมในการสร้างแรงจูงใจเชิงเศรษฐศาสตร์ ให้ภาคเอกชนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มาตรการส่งเสริมให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวันเพื่อร่วมแก้ไขปัญหาดังกล่าว เช่น การพัฒนาและส่งเสริมระบบขนส่งมวลชน การลดการใช้ถุงพลาสติก เป็นต้น อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงนโยบาย กฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับต่าง ๆ ของภาครัฐ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังไม่มีความชัดเจนทั้งด้านกลไกและวิธีการบังคับใช้จึงถือเป็นความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแนวทางในการบริหารจัดการเพื่อลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือ

  1. การใช้ทรัพยากรในผลิตสินค้า เช่น หลอดไฟที่มีคุณภาพ พลังงาน ทรัพยากรน้ำ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนและลดของเสีย
  2. ดำเนินการโครงการต่างๆ ในกระบวนการดำเนินงาน ตั้งแต่การประเมินประสิทธิภาพการใช้พลังงานในทุกหน่วยธุรกิจ เพื่อกำหนดแนวทางการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม การใช้หลอดไฟที่มีคุณภาพเพื่อลดปริมาณการใช้ไฟซึ่งมีผลโดยตรงต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  3. ขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program :T-VER) เพื่อเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้ (คาร์บอนเครดิต) สามารถนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อเข้าสู่สังคมคาร์บอนตํ่าในอนาคต
  4. วิเคราะห์และจัดการความเสี่ยงด้านการเงินที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ทั้งความเสี่ยงทางกายภาพและความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) รวมทั้งโอกาสทางธุรกิจที่สอดคล้องตามแนวทางของ TCFD (Task Force on Climate-related Financial Disclosures)
  5. กำหนดกลยุทธ์การจัดการด้านสภาพภูมิอากาศของบริษัท รวมถึงเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการด้านสภาพภูมิอากาศ เช่น เป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 15% ภายในปี 2575
  6. การมีส่วนร่วมและการเป็นพันธมิตรกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในและภายนอกองค์กร เกี่ยวกับการจัดการด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ในส่วนของความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งป้ายโฆษณาหรือการขออนุญาตในพื้นที่สาธารณะ ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินโครงการใหม่ บริษัทได้บริหารความเสี่ยงโดยการติดตามและวิเคราะห์ร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาโดยรัฐ เพื่อเตรียมความพร้อมด้านการบริหารและปรับแผนธุรกิจ รวมไปถึงการมีส่วนร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ เช่น สมาคมโฆษณา และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเสนอแนวทางหรือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในเชิงนโยบาย

กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงของบริษัทมุ่งเน้นที่การติดตามแนวโน้มของโลก กฎระเบียบและข้อบังคับใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจ การดําเนินการของธุรกิจอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน การประเมินตามกรอบการดําเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่คํานึงถึง สิ่งแวดล้อม สังคม การกํากับดูแล (ESG - Environment, Social, Governance) และการจัดการความไม่แน่นอนตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยนําแนวคิดเรื่องความเสี่ยงด้านความยั่งยืนผสานเข้ากับ “กรอบการบริหารความเสี่ยงองค์กรของแพลนบี” ที่สอดคล้องกับแนวทางของ COSO: Enterprise Risk Management Framework โดยมีองค์ประกอบหลักดังต่อไปนี้

  1. โครงสร้างการกำกับดูแล ครอบคลุมตั้งแต่ระดับคณะกรรมการบริษัท คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการและความยั่งยืน คณะกรรมการตรวจสอบ คณะกรรมการบริหาร คณะทำงานพัฒนาความยั่งยืนทางธุรกิจ คณะทำงานบริหารความเสี่ยง และผู้ประสานงานความเสี่ยงของกลุ่มธุรกิจหรือสายงาน
  2. ความเข้าใจในบริบททางธุรกิจและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่เน้นแนวทางการพัฒนาอย่างยังยืน โดยทุกหน่วยงานทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อทำความเข้าใจ วิเคราะห์ติดตามและสื่อสารปัจจัยเสี่ยง และแนวโน้มสำคัญในอนาคตที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจหรือกลยุทธ์องค์กร
  3. กระบวนการบริหารความเสี่ยงแบบบูรณาการ ทั้งในระดับองค์กร ระดับกลุ่มธุรกิจหรือสายงาน จนถึงระดับปฏิบัติการ การประเมินความเสี่ยงที่สำคัญและกำหนดกลยุทธ์ในการจัดการความเสี่ยง รวมถึงการสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ มีความสอดคล้องกับกลยุทธ์และแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของสาระสำคัญด้านความยั่งยืนของแพลนบี
  4. การสื่อสาร รายงาน และประเมินผล การบริหารความยั่งยืนและความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับสายงานและบริษัทย่อย ระดับสายธุรกิจหรือกลุ่มธุรกิจ และระดับองค์กร
  5. วัฒนธรรมด้านความยั่งยืนและการบริหารความเสี่ยง โดยให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการบริหารความเสี่ยงกับกรรมการบริษัท ผู้บริหารและพนักงานทุกระดับในองค์กร ผ่านการฝึกอบรม ปฐมนิเทศ เผยแพร่ความรู้ ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ผ่านจดหมายข่าว ส่งเสริมให้พนักงานได้พูดคุยหรือเสนอความเห็นด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อสร้างความเข้าใจและแบ่งปันความรู้ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนของแพลนบีให้แก่พนักงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อาทิ คู่ค้า ลูกค้า เป็นต้น

บริษัทมีการบริหารความเสี่ยงด้านสังคมหากการดำเนินงานในพื้นที่สาธารณะเกิดข้อร้องเรียนจากชุมชน โดยการประเมินผลกระทบทางสังคมจากการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการรับเรื่องร้องเรียนจากชุมชน, การคัดกรองเนื้อหาโฆษณาไม่ให้กระทบต่อศีลธรรมและค่านิยม

ความเสี่ยง ที่เกิดขึ้นใหม่

ความเสี่ยงด้านความยั่งยืน

บริษัทมุ่งเน้นแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลกิจการที่ดีและกระบวนการควบคุมภายในที่เหมาะสมเพียงพอ โดยได้มีการกำหนดนโยบายต่อต้านทุจริตและคอร์รัปชัน (Anti-Corruption Policy) ที่มีความชัดเจน ครอบคลุม และมีการกำหนดคำนิยามของการคอร์รัปชันที่ชัดเจน รวมถึงมีแนวทางปฏิบัติ ซึ่งได้สื่อสารให้บุคคลภายในและภายนอกองค์กรได้รับทราบ

ทั้งนี้ บริษัทมีการตรวจสอบป้องกันและประเมินความเสี่ยงด้านคอร์รัปชันจากกิจกรรมดำเนินงานของบริษัท มีการกำหนดมาตรการในการควบคุมและติดตามกระบวนการทำงานที่อาจเกิดการทุจริตได้ เพื่อยืนยันความถูกต้องของการปฏิบัติงานให้มีความสุจริตโปร่งใส ป้องกันการทุจริต รวมทั้งเปิดช่องทางการสื่อสารให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถแจ้งเบาะแส ข้อเสนอแนะ ข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตได้โดยตรงต่อคณะกรรมการตรวจสอบ ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้รับการรับรองเป็นสมาชิกแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน (CAC) นอกจากนี้ บริษัทยังกำหนดให้พนักงานทุกรายดำเนินการทดสอบความรู้ความเข้าใจในด้านจริยธรรมในการทำงานหรือ Code of Conduct อย่างเข้มงวด โดยพนักงานร้อยละ 100 ต้องสอบผ่านเกณฑ์ทั้งหมด ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้พนักงานทุกรายของบริษัทรับทราบและปลูกฝังจริยธรรมในการทำงานแก่พนักงาน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเพิ่มความถี่ ความรุนแรง และผลกระทบของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงบางประเภท ซึ่งผลที่ตามมาของสภาพอากาศที่รุนแรงนั้น เช่น น้ำท่วม ความร้อนจัด และฝนอาจนำไปสู่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มขึ้นจากความเสียหายทางกายภาพและการฟื้นฟู ซ่อมแซมทรัพย์สิน โครงสร้างพื้นฐาน และอาจเกิดความเสียหายจากการหยุดชะงักของธุรกิจได้ ทั้งนี้ จากผลกระทบที่กล่าวไว้ข้างต้นดังกล่าว อาจนำไปสู่ต้นทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมจากความเสียหายทางกายภาพและการฟื้นฟูสินทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐาน และความเสียหายจากการหยุดชะงักของธุรกิจ และมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านของแพลนบี นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังอาจนำไปสู่ต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย เช่น เหตุการณ์อุทกภัยหรือฝนตกหนัก อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างของโฆษณากลางแจ้งของบริษัท ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ภาวะความร้อนสูงอาจทำให้อายุการใช้งานผลิตภัณฑ์ไวนิลของป้ายโฆษณากลางแจ้งสั้นลง ซึ่งจะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสำหรับการเปลี่ยนและซ่อมบำรุงวัสดุที่บ่อยครั้งมากขึ้น

แพลนบี มีส่วนช่วยในการป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเกิดสภาพภูมิอาการที่รุนแรง โดยการริเริ่มโครงการจัดการสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่มีวัตถุประสงค์หลักในการอนุรักษ์การใช้พลังงานและควบคุมให้มีการจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจของแพลนบี โดยบริษัทมีมาตรการจัดการความเสี่ยงที่สำคัญ ดังนี้

  1. บริษัทใส่ใจและติดตามผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการการจัดการและบริหารความเสี่ยง อีกทั้ง ยังจัดทำแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจขององค์กร (BCP) และแผนฟื้นฟูจากภัยพิบัติเพื่อจัดการกับเหตุการณ์สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยและตอบสนองต่อการหยุดชะงักของการดำเนินธุรกิจ
  2. ทุกกลุ่มธุรกิจต้องปฏิบัติตามนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมขององค์กรอย่างเคร่งครัด เช่น การใช้ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001 การใช้หลัก 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) การบริหารจัดการและลดปริมาณการใช้น้ำ การบริหารจัดการและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงโครงการ Carbon Footprint ระดับองค์กรและผลิตภัณฑ์
  3. การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและประหยัดพลังงาน เช่น การใช้หลอดไฟ LED ที่มีคุณภาพและทันสมัย เพื่อลดการใช้ทรัพยากรและพลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนการผลิต รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการผลิต
  4. การบริหารจัดการตามแนวทางการปฏิบัติของคู่ค้าในเรื่องสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

จากแรงกดดันด้านนโยบายภาครัฐ ผู้ลงทุน และความคาดหวังของสังคมในระดับโลก การเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เช่น การกำหนดเป้าหมาย Net Zero หรือการจัดเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax / CBAM – Carbon Border Adjustment Mechanism) กำลังเร่งตัวและอาจส่งผลกระทบต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจในอีก 3-5 ปีข้างหน้า สำหรับบริษัทในอุตสาหกรรมสื่อ เช่น สื่อโฆษณากลางแจ้ง อาจต้องเผชิญแรงกดดันจากลูกค้าที่ต้องการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากกิจกรรมโฆษณา หรือเผชิญต้นทุนเพิ่มเติมในการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีสื่อให้มีประสิทธิภาพด้านพลังงานมากขึ้น หากไม่มีการเตรียมความพร้อมด้าน ESG และนวัตกรรมที่ยั่งยืน อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงาน

เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีเป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อช่วยให้เกิดความคุ้มค่าทางธุรกิจยิ่งขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น ดังนั้น การเชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ตอาจทำให้บริษัทเผชิญกับภัยคุกคามที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้องค์กรมีความมั่นคง ปลอดภัยทางไซเบอร์ของระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ดำเนินงานทางธุรกิจ และเป็นไปตามแนวปฏิบัติด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ตามมาตรฐานระดับสากลและตามกรอบของ พ.ร.บ. ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศไทย ในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทจึงได้ดำเนินมาตรการต่างๆ อย่างเข้มข้น เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงดังกล่าวทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ เช่น

  • - การจัดทำนโยบายด้านความปลอดภัยไซเบอร์ที่ชัดเจนของกลุ่มบริษัท และจัดตั้งคณะทำงานเพื่อรับผิดชอบการพัฒนาเรื่องดังกล่าวทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
  • - การให้ความรู้แก่พนักงานด้านรูปแบบภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นและแนวปฏิบัติในการป้องกัน/รับมือเหตุการณ์ด้วยตนเอง เพื่อจำกัดความเสียหายให้ส่งผลกระทบน้อยที่สุด
  • - การทดสอบระบบและการฝึกซ้อมแผนกู้คืนระบบสารสนเทศ กรณีที่เกิดภัยคุกคาม

ตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ได้มีผลบังคับใช้แล้วในวันที่ 1 มิถุนายน 2565 (“กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”) แม้ว่าลักษณะการทำธุรกิจของบริษัทจะทำให้บริษัทไม่ได้มีการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมากก็ตาม แต่บริษัทเองก็ได้ตระหนักถึงความสำคัญของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎระเบียบต่างๆ ที่ทางคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้ออกเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว โดยบริษัทได้ดำเนินการจัดตั้งคณะทำงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อออกนโยบายและขั้นตอนการทำงานภายในบริษัทเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและระเบียบอื่นใดที่เกี่ยวข้อง และเพื่อให้นโยบายและขั้นตอนการทำงานภายในมีการปรับปรุงแก้ไขให้เป็นปัจจุบันเสมอ รวมทั้งมีการวางระบบการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับให้พนักงานของบริษัทและบริษัทย่อยใช้งานในขั้นตอนของการจัดเก็บข้อมูลเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการรั่วไหลและสามารถป้องกันเหตุได้ทันในกรณีที่มีการร้องเรียนใด ๆ ระบบดังกล่าวจะสามารถติดตามหาต้นตอข้อมูล เอกสาร รวมทั้งผู้จัดเก็บได้ทันที นอกจากนี้ บริษัทยังได้ออกแผนงานเพื่อให้พนักงานทุกคนในบริษัทและบริษัทย่อยทราบถึงลักษณะการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ขั้นตอนการทำลายข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งขั้นตอนในกรณีที่เจ้าของข้อมูลได้มีการแจ้งขอให้บริษัท ลบ ทำลาย หรือแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของตนที่เก็บรักษาไว้กับบริษัท และรวมไปถึงการแจ้งให้คู่ค้าและลูกค้าทราบถึงแผนการปฏิบัติงานและนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท เพื่อให้การทำงานร่วมกันสอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและแนวปฏิบัติของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ

การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันไปบริโภคสื่อดิจิทัลมากขึ้น เช่น การใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย การสตรีมมิงวิดีโอ การใช้แอปพลิเคชันบนมือถือ และการบริโภคสื่อแบบออนดีมานด์ (on-demand) ส่งผลให้ความสนใจและระยะเวลาที่ผู้บริโภคใช้กับสื่อดั้งเดิม โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์และสื่อนอกบ้าน อาจลดลง หากบริษัทไม่สามารถพัฒนานวัตกรรมหรือปรับกลยุทธ์การสื่อสารแบรนด์ให้ตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างทันท่วงที อาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน รายได้จากการโฆษณา และการรักษาฐานลูกค้าในระยะยาว

โดยความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค และแนวโน้มมหภาคที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมนันเป็นความเสี่ยงที่ส่งผลต่อธุรกิจในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า เนื่องจากเป็นความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในระดับมหภาคของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวเล้อม อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการพัฒนารูปแบบของจอโฆษณาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคในการสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ บริษัทได้พัฒนาระบบ MAGNETIC Measurement ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ (Real-time Data Analytics) ที่ช่วยให้สามารถประเมินผลตอบรับของแคมเปญได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อให้แบรนด์สามารถวางแผนและสร้างแคมเปญที่ตรงเป้าหมายและตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แนวโน้มการเข้าสู่สังคมสูงวัยในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ส่งผลให้โครงสร้างกำลังแรงงานเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทที่พึ่งพาทักษะแบบดั้งเดิมหรือบุคลากรอายุน้อยจำนวนมากอาจประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอนาคต ขณะเดียวกันพฤติกรรมและความคาดหวังของแรงงานรุ่นใหม่ (เช่น Gen Z) ก็แตกต่างไปจากเดิม โดยให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น ความหมายของงาน และคุณค่าทางสังคม ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการดึงดูดและรักษาพนักงาน หากบริษัทไม่มีการปรับตัวด้านวัฒนธรรมองค์กร ระบบพัฒนาทักษะ หรือการออกแบบงานที่เหมาะสม

แม้ว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่จะมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ แต่ในอนาคตอันใกล้ ความเสี่ยงจากการใช้ AI ที่ผิดจริยธรรมหรือให้ผลลัพธ์ที่เอนเอียง (Algorithmic bias) อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า คู่ค้า และสาธารณชน อีกทั้งการใช้ข้อมูลโดยขาดความโปร่งใสอาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หรือผิดกฎหมายใหม่ที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น กฎหมาย AI Act ของสหภาพยุโรป หรือแนวปฏิบัติด้านจริยธรรม AI หากบริษัทไม่มีแนวทางกำกับดูแล AI และข้อมูลที่เหมาะสม อาจเผชิญกับความเสี่ยงด้านชื่อเสียง กฎหมาย และการสูญเสียความไว้วางใจ

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารมีความเร็วและกระจายตัวสูงผ่านโซเชียลมีเดีย ผู้บริโภคจำนวนมากมีแนวโน้มเชื่อข้อมูลที่สอดคล้องกับความเชื่อของตนเองมากกว่าข้อเท็จจริง (Confirmation bias) และยากต่อการแยกแยะระหว่าง “ข้อเท็จจริง” กับ “ข้อมูลบิดเบือน” หรือข่าวปลอม (Fake news) พฤติกรรมเช่นนี้สร้างความท้าทายต่อแบรนด์ในการสื่อสารคุณค่าองค์กร ความยั่งยืน หรือจริยธรรมในแบบที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะเมื่อเกิดกระแสสังคมแบบไวรัลที่อาจนำไปสู่การ "Cancel" แบรนด์ แม้ในกรณีที่ข้อมูลไม่ครบถ้วน สำหรับธุรกิจที่ทำสื่อโฆษณาและสร้างการรับรู้แบรนด์ เช่น แพลนบี การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะอาจกระทบต่อ

  • - ความสามารถในการควบคุมเนื้อหาสื่อในสาธารณะ
  • - ความไว้วางใจที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ที่ใช้สื่อของบริษัท
  • - โอกาสที่แบรนด์จะตกเป็นเป้าโจมตีจากกระแสออนไลน์หรือถูกบิดเบือนเจตนา
แผนบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่

แพลนบีตระหนักว่าภูมิทัศน์ทางธุรกิจในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากหลายปัจจัย ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ซึ่งล้วนส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจในระยะกลางถึงระยะยาว ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ (Emerging Risks) เหล่านี้ เช่น แนวโน้มกฎระเบียบด้าน ESG ที่เข้มงวดขึ้น, ความเสี่ยงจากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลง, หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคข้อมูลล้นเกิน แม้จะยังไม่ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนในระยะสั้น แต่หากไม่มีการเตรียมความพร้อม อาจนำไปสู่การสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบต่อชื่อเสียงขององค์กรในอนาคต

เพื่อให้สามารถลดผลกระทบของความเสี่ยงดังกล่าวและสร้างความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจ (Business Resilience) บริษัทจึงอยู่ระหว่างการพัฒนา แผนบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ โดยมีแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ดังนี้

1. กำหนดกรอบการติดตามความเสี่ยงใหม่ (Emerging Risk Monitoring Framework)
บริษัทจะกำหนดกลไกการติดตามความเสี่ยงใหม่อย่างเป็นระบบ โดยมอบหมายบทบาทให้ คณะทำงานบริหารความเสี่ยง หรือ หน่วยงานเฉพาะด้านความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ทำหน้าที่ติดตามวิเคราะห์สัญญาณเตือนล่วงหน้า (Early warning signals) ทั้งจากแหล่งข้อมูลภายในและภายนอก เช่น

  • ความเปลี่ยนแปลงของกฎหมายในต่างประเทศ
  • นโยบายภาครัฐเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและแรงงาน
  • พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
  • แนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคและความผันผวนของตลาด

กลไกนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถระบุความเสี่ยงได้อย่างทันท่วงที และเตรียมรับมือก่อนที่จะเกิดผลกระทบต่อธุรกิจ

2. จัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยง (Prioritization & Materiality Assessment)
เมื่อระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้แล้ว บริษัทจะดำเนินการประเมินความเสี่ยงตามหลักการของ COSO Enterprise Risk Management โดยพิจารณาทั้ง โอกาสในการเกิด (Likelihood) และ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อองค์กร (Impact) ก่อนจัดลำดับความเสี่ยงตามความรุนแรงและความเกี่ยวข้องกับแผนกลยุทธ์ขององค์กร เพื่อให้สามารถวางแผนและจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม เช่น

  • หากพบว่าแรงงานรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับ ESG มากกว่าค่าตอบแทน บริษัทจะเร่งวางกลยุทธ์ด้าน Employer Branding ใหม่ให้ทันความคาดหวัง

3. จัดทำแผนการตอบสนองต่อความเสี่ยง (Risk Response Plan)
เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น บริษัทจะกำหนดแนวทางการตอบสนองที่ครอบคลุมทั้ง

  • มาตรการเชิงป้องกัน (Preventive Measures) เช่น การปรับนโยบายการจัดซื้อ การคัดเลือกคู่ค้าที่มีระบบ ESG
  • มาตรการบรรเทาผลกระทบ (Mitigative Actions) เช่น การวางแผนสำรองทางเทคโนโลยี การฝึกอบรมพนักงานในทักษะใหม่

แผนเหล่านี้จะถูกรวมไว้ในแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan) และแผนบริหารความเสี่ยงรวมขององค์กร

4. สื่อสารและผสานเข้ากับแผนกลยุทธ์องค์กร (Strategic Integration)
บริษัทจะดำเนินการสื่อสารข้อมูลความเสี่ยงใหม่และแนวทางตอบสนองไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกระดับ ตั้งแต่ คณะกรรมการบริษัท, ผู้บริหารระดับสูง, หัวหน้างาน, ไปจนถึง พนักงานปฏิบัติการ เพื่อให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และมีส่วนร่วมในการบริหารความเสี่ยง นอกจากนี้ ข้อมูลความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่จะถูกผนวกเข้ากับการวางแผนกลยุทธ์องค์กร เพื่อให้แผนธุรกิจมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที

5. ติดตามและทบทวนอย่างสม่ำเสมอ (Review & Adaptation)
เพื่อให้การบริหารความเสี่ยงมีประสิทธิภาพและทันสมัย บริษัทจะมีการติดตามและทบทวนแผนบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือเมื่อเกิดสถานการณ์สำคัญ เช่น การระบาดของโรคอุบัติใหม่ ภัยพิบัติธรรมชาติ หรือความเปลี่ยนแปลงในกฎหมายระดับประเทศและสากล ทั้งนี้บริษัทจะเน้น การเรียนรู้จากสถานการณ์จริง (Post-Incident Review) และปรับปรุงแนวทางการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างความพร้อมขององค์กรในทุกสถานการณ์

การจัดการ ห่วงโซ่อุปทาน

บริษัทได้กำหนดนโยบายและจรรยาบรรณคู่ค้าด้านการจัดซื้อ จัดหา ว่าจ้าง เพื่อให้คู่ค้าได้นำไปเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามความคาดหวังของบริษัท รวมถึงการปฏิบัติต่อคู่ค้าอย่างเป็นธรรม นอกจากนี้ บริษัทยังมีกระบวนการประเมินคู่ค้าเพื่อตรวจสอบความสอดคล้องตามหลักปฏิบัติซึ่งครอบคลุมการกลั่นกรองและคัดเลือก การระบุคู่ค้าที่มีนัยสำคัญ รวมทั้งคู่ค้าที่มีความเสี่ยงด้าน ESG สูง การติดตามและการประเมินผลคู่ค้าของบริษัท ทั้งนี้ คู่ค้าจะต้องยึดหลักจริยธรรมและการดำเนินงานที่ป้องกันผลกระทบต่อชุมชน สิ่งแวดล้อม และในขณะเดียวกันคุ้มครองอาชีวอนามัยและความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานและสังคมอีกด้วย

และเพื่อให้มั่นใจว่าการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานของบริษัทเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม บริษัทจึงได้จัดทำจรรยาบรรณคู่ค้าทางธุรกิจ (Supplier Code of Conduct) ขึ้น โดยจรรยาบรรณคู่ค้าทางธุรกิจนี้จะมุ่งพัฒนามาตรฐานการทำงานใน 5 ประเด็นหลัก ดังนี้

บริษัทมีนโยบายการจัดหาและคัดเลือกคู่ค้าที่เสมอภาคและเป็นธรรม รวมไปถึงคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของบริษัท ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยการสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วน ผ่านกระบวนการดำเนินการจัดหาและคัดเลือกคู่ค้าที่เป็นเลิศ โปร่งใส และเป็นธรรม โดยมีแนวปฏิบัติดังนี้

  1. กำหนดให้มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาจัดหาและคัดเลือกคู่ค้า เพื่อให้มีการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นธรรมและไม่มีการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน
  2. กำหนดให้มีการจัดหาและคัดเลือกคู่ค้า โดยพิจารณาจากคุณภาพ ราคา ปริมาณ การให้บริการ และความรวดเร็วในการตอบสนอง อีกทั้งการคำนึงถึงการมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
  3. กำหนดให้มีการจัดหาและคัดเลือกคู่ค้าอย่างโปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ รวมทั้งปฏิบัติตามระเบียบ ข้อกำหนด และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมถึงคำนึงถึงความเสี่ยงครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้บริษัทให้ความสำคัญกับการต่อต้านการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรมในทุกรูปแบบ และจะไม่เรียกหรือรับ หรือจ่ายผลประโยชน์ใดๆ ที่ไม่สุจริตในการค้ากับคู่ค้าโดยเด็ดขาด
  4. กำหนดให้การจัดซื้อจัดจ้างไม่เอาเปรียบคู่ค้า ให้ข้อมูลที่ครบถ้วน ถูกต้อง ชัดเจน เปิดเผย และปฏิบัติต่อคู่ค้าอย่างเท่าเทียมกัน รวมทั้งรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะของคู่ค้าเพื่อการปรับปรุงการทำงาน
  5. การปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้อย่างเคร่งครัด กรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งได้ต้องรีบแจ้งให้คู่ค้าทราบล่วงหน้าเพื่อร่วมกันพิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้ทันท่วงที
  6. กำหนดให้มีการพิจารณาคู่ค้าจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และธรรมาภิบาลหรือการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social & Governance: ESG) รวมถึงการกำกับดูแลคู่ค้าให้ดำเนินการตามแนวปฏิบัติคู่ค้าของบริษัท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน
  7. มุ่งเน้นความสำคัญในการบริหารคู่ค้า สร้างสัมพันธภาพที่ดี รวมทั้งเสริมสร้างศักยภาพให้มีการพัฒนาร่วมกันอย่างยั่งยืน
  8. มุ่งเน้นการบูรณาการความยั่งยืนในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง โดยกำหนดเกณฑ์ในการคัดเลือกคู่ค้ารายใหม่และคู่ค้ารายปัจจุบัน รวมถึงพิจารณาซื้อสินค้า ตรวจประเมินคู่ค้ารายสำคัญและคู่ค้าที่มีความเสี่ยงด้านความยั่งยืน ณ สถานประกอบการ เพื่อการพัฒนาศักยภาพคู่ค้า พร้อมจัดทำแผนการดำเนินการแก้ไขข้อร้องเรียนอย่างต่อเนื่อง
  9. บริหารจัดการองค์ความรู้ระหว่างบริษัทและคู่ค้า พร้อมทั้งผลักดันการใช้งานเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านจัดซื้อจัดจ้าง และมุ่งสู่ความเป็นเลิศของบริษัท

ทั้งนี้ ผู้บริหารและบุคลากรทั้งหมดของบริษัททุกคนมีหน้าที่สนับสนุน ผลักดัน และปฏิบัติภายใต้นโยบายและกรอบการบริหารจัดการการจัดซื้อจัดจ้างอย่างเคร่งครัด และต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเท่าเทียม และความเป็นธรรม โดยไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้หนึ่งผู้ใด อันเนื่องมาจากความแตกต่างทางกาย จิตใจ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา เพศ อายุ การศึกษา หรือเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น

บริษัทให้ความสำคัญในการพิจารณาคัดเลือกคู่ค้าที่เหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการการคัดเลือกคู่ค้าเป็นไปอย่างเหมาะสม และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยบริษัทมีการกำหนดหลักเกณฑ์ โดยพิจารณาจากคุณสมบัติในการใช้คัดเลือกและจัดกลุ่มคู่ค้า ทั้งนี้ บริษัทได้ประเมินความเสี่ยง ซึ่งครอบคลุมประเด็นทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากคู่ค้าของบริษัท และมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคัดเลือกคู่ค้าดังนี้

  1. คู่ค้ามีสถานประกอบการที่สามารถตรวจสอบได้
  2. คู่ค้ามีบุคลากร เครื่องจักร อุปกรณ์ สินค้า บริการ คลังสินค้า สถานภาพทางการเงิน และประวัติในการดำเนินกิจการที่น่าเชื่อถือ
  3. คู่ค้าเป็นผู้มีผลงานที่น่าพอใจ ทั้งด้านคุณภาพสินค้า การบริการ การส่งมอบตามกำหนดเวลา การให้บริการหลังการขาย การรับประกัน หรือเงื่อนไขอื่นๆ ในการทำธุรกรรมที่ตกลงร่วมกัน
  4. คู่ค้าต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และดำเนินธุรกิจอย่างเป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ รวมถึงไม่มีประโยชน์ขัดแย้งกับธุรกิจของบริษัท และไม่มีประวัติต้องห้ามทำการค้าอันเนื่องจากการกระทำทุจริต หรือประวัติการละทิ้งงาน หรืออยู่ในบัญชีรายชื่อบริษัทต้องการของทางราชการและเอกชน
  5. คู่ค้าต้องมีเจตจำนงและการแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยพิจารณาครอบคลุมเรื่องสิทธิมนุษยชน การดูแลพนักงานและแรงงาน จรรยาบรรณธุรกิจ และการปฏิบัติตามกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม

การพิจารณาคัดเลือกคู่ค้ารายใหม่และคู่ค้ารายปัจจุบันจำเป็นต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บริษัทกำหนดไว้ โดยมุ่งเน้นไปที่การพิจารณาจากคุณสมบัติในการใช้คัดเลือกและจัดกลุ่มคู่ค้า รวมถึงเป็นไปตามนโยบายด้านการจัดซื้อจัดจ้างและการปฏิบัติต่อคู่ค้าและนโยบายการบริหารห่วงโซ่อุปทานของบริษัท อีกทั้ง คู่ค้าต้องมีเจตจำนงและการแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยพิจารณาครอบคลุมเรื่องสิทธิมนุษยชน การดูแลพนักงานและแรงงาน จรรยาบรรณธุรกิจ และการปฏิบัติตามกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม

บริษัทใช้ระบบการจัดซื้อแบบรวมศูนย์ (Centralized Procurement) เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการจัดการต้นทุน ควบคุมคุณภาพ และเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการจัดหา โดยได้กำหนดหลักเกณฑ์อย่างชัดเจนในการ จัดกลุ่มคู่ค้า (Supplier Segmentation) ที่ทำธุรกิจกับบริษัทโดยตรง (Tier 1) ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ คู่ค้าหลัก (Critical Supplier), คู่ค้ารอง (Non-Critical Supplier), และคู่ค้าทั่วไป (General Supplier) พร้อมกำหนดวิธีการประเมินและบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมในแต่ละกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การบริหารจัดซื้อมีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น บริษัทได้ขยายขอบเขตการบริหารจัดการไปถึง คู่ค้าสำคัญที่ไม่ได้ทำธุรกิจกับบริษัทโดยตรง” (Critical Non-Tier 1 Supplier) หรือกลุ่มคู่ค้าที่อยู่ในระดับถัดไปในห่วงโซ่อุปทาน เช่น ผู้ผลิตวัตถุดิบหลัก หรือผู้รับเหมาช่วงที่มีผลต่อการส่งมอบของคู่ค้าหลัก ซึ่งแม้จะไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับบริษัทโดยตรง แต่มีความสำคัญต่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ (Business Continuity) และ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานหากเกิดปัญหา

เพื่อให้การบริหารจัดซื้อเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุม บริษัทจึงได้กำหนด หลักเกณฑ์ในการจัดกลุ่ม คู่ค้าอย่างเป็นระบบ โดยพิจารณาจากระดับความเสี่ยง มูลค่าสัญญา ความสำคัญเชิงกลยุทธ์ และความสามารถในการทดแทน พร้อมกำหนดแนวทางการประเมินผลที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม ดังนี้

  1. กลุ่มคู่ค้าหลัก (Critical Supplier) คือ คู่ค้าที่มีมูลค่าสัญญาสูง คู่ค้าที่มียอดการใช้จ่ายสูง สินค้าทดแทนยาก และมีความสำคัญต่อการสร้างรายได้ และมีความเสี่ยงสูงมากหรือความเสี่ยงสูง โดยบริษัทกำหนดให้คู่ค้ากลุ่มนี้มีการประเมินผลการทำงานทุกปี ผ่านแบบประเมินคู่ค้า (Vendor Evaluation Form) และเยี่ยมชมพื้นที่การปฏิบัติงาน (On Site Audit) ตลอดจนการประเมินผลการปฏิบัติงานด้านความยั่งยืน จำแนกเป็นสินค้าประเภทจอ LED
  2. กลุ่มคู่ค้ารอง (Non-Critical Supplier) คือ คู่ค้าที่ไม่อยู่ในกลุ่มคู่ค้าหลัก ที่มียอดการงานใช้ปานกลางหรือมูลค่าสัญญาต่ำและมีความเสี่ยงอยู่ในระดับกลางหรือความเสี่ยงต่ำ ซึ่งบริษัทกำหนดให้มีการประเมินผลการทำงานเป็นประจำทุกปี ผ่านแบบประเมินคู่ค้า (Vendor Evaluation Form) และการทำแบบประเมินตนเองของคู่ค้า (Vendor Self-Assessment) จำแนกเป็น งานรับเหมาก่อสร้าง อุปกรณ์อะไหล่ งานบริการและอุปกรณ์ IT วัสดุสิ้นเปลือง
  3. กลุ่มคู่ค้าทั่วไป (General Supplier) คือ คู่ค้าที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มคู่ค้าหลักหรือคู่ค้ารอง ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายค่อนข้างน้อย ไม่มีความเสี่ยงทางธุรกิจที่ส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัท และไม่มีความซับซ้อนในการบริหารจัดการ โดยคู่ค้ากลุ่มนี้มักมีทางเลือกในการจัดซื้อจากหลายแหล่ง และสามารถทดแทนกันได้ง่าย บริษัทจะดำเนินการประเมินตามความเหมาะสมของแต่ละกรณี โดยไม่จำเป็นต้องประเมินทุกปี เนื่องจากผลกระทบต่อธุรกิจมีน้อย
  4. กลุ่มคู่ค้าสำคัญที่ไม่ได้ทำธุรกิจกับบริษัทโดยตรง (Critical Non-Tier 1) คือ คู่ค้าที่ไม่จัดจำหน่ายสินค้า/บริการให้บริษัทโดยตรง แต่มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของคู่ค้าหลัก เช่น ผู้ผลิตชิ้นส่วนสำคัญ หรือซัพพลายเออร์ของคู่ค้า Critical

เพื่อให้สามารถจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงและดำเนินงานร่วมกับคู่ค้าได้อย่างเหมาะสม บริษัทมีแนวทางในการติดตามและบริหารความสัมพันธ์กับคู่ค้ากลุ่มนี้ ดังนี้

  1. ประสานกับคู่ค้าหลัก (Tier 1) เพื่อขอข้อมูลห่วงโซ่อุปทานรองรับ เช่น รายชื่อผู้รับเหมาช่วงหลักหรือผู้ผลิตวัตถุดิบหลักที่ใช้บ่อย
  2. ประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นผ่านการประเมินทางอ้อม (Indirect Assessment) โดยใช้แบบสอบถามด้านคุณภาพ การจัดการสิ่งแวดล้อม การปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน หรือแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืน ร่วมกับคู่ค้าหลักที่เกี่ยวข้อง
  3. ติดตามและตรวจสอบความเสี่ยงร่วมกับคู่ค้าหลักเป็นระยะ โดยเฉพาะเมื่อมีสัญญาณเตือนความเสี่ยง เช่น การส่งมอบล่าช้า ปัญหาด้านคุณภาพ หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทาน
  4. บูรณาการแนวทางการตรวจสอบร่วมกับ On-site Audit หรือ Supplier Meeting ของคู่ค้าหลัก โดยเพิ่มหัวข้อความเสี่ยงจากผู้รับเหมาช่วงหรือซัพพลายเออร์รองเข้าไปในแบบฟอร์มการประเมิน

การกำหนดและบริหารจัดการคู่ค้ากลุ่ม Critical Non-Tier 1 อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้บริษัทสามารถ ประเมินความเสี่ยงได้อย่างครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อุปทาน (End-to-End Supply Chain Risk Management) และวางแผนการรับมืออย่างเหมาะสม เพื่อสนับสนุนความต่อเนื่องทางธุรกิจ ลดโอกาสเกิดเหตุไม่คาดคิด และส่งเสริมความยั่งยืนในระยะยาวของบริษัทและคู่ค้าในทุกระดับ

คู่ค้ารายใหม่ทุกรายต้องยอมรับและปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติสำหรับคู่ค้าว่าด้วยเรื่องแนวทางจรรยาบรรณคู่ค้าทางธุรกิจ (Supplier code of conduct) ของบริษัทเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันและเป็นการยืนยัน รวมไปถึงยอมรับแนวทางดังกล่าวร่วมกันเพื่อการพัฒนาร่วมกันที่ยั่งยืน ทั้งนี้ ในปี 2567 คู่ค้าทุกรายได้รับทราบและยอมรับแนวทางปฏิบัติสำหรับคู่ค้าว่าด้วยเรื่องแนวทางจรรยาบรรณคู่ค้าทางธุรกิจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

บริษัทมีกระบวนการประเมินคู่ค้าของบริษัทเป็นประจำ ปีละ 1 ครั้ง เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์และใช้ในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาในการดำเนินงานร่วมกันกับคู่ค้า ทั้งยังเป็นการพัฒนาการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของบริษัท และคู่ค้าร่วมกัน ทั้งนี้ การประเมินคู่ค้าของบริษัทแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ การประเมินความเสี่ยงคู่ค้า (Supplier’s Risk Assessment) และการประเมินประสิทธิภาพในการทำงานของคู่ค้า (Supplier’s Performance Assessment) ตามรายละเอียดดังนี้

การประเมินความเสี่ยงคู่ค้า (Supplier’s risk assessment)

บริษัท กำหนดให้มีการประเมินความเสี่ยงคู่ค้าเพื่อจัดลำดับความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจขององค์กร ภายใต้เกณฑ์การประเมินความเสี่ยงที่บริษัท กำหนด ครอบคลุมประเด็นที่สำคัญ 3 ประเด็น ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

ปัจจัยเสี่ยง แนวทางบริหารจัดการและการควบคุม
ด้านเศรษฐกิจ
สถานะและความมั่นคงทางการเงินของคู่ค้า
  • หลักทรัพย์ค้ำประกัน
  • ตรวจสอบงบการเงินย้อนหลัง
คู่ค้าที่มีมูลค่าการซื้อขายสูง
  • ตรวจสอบการปฏิบัติตามสัญญาและการส่งมอบงาน
  • กำหนดเงื่อนไขการชำระเงิน (Credit Term) เป็นงวดตามความก้าวหน้าของงาน
ด้านสังคม
การใช้แรงงานเด็ก, ต่างด้าวผิดกฎหมาย และการละเมิดสิทธิมนุษยชน
  • กำหนดหลักเกณฑ์ประเมินคุณสมบัติคู่ค้า
  • การลงพื้นที่เยี่ยมชมกิจการ
ความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
  • กำหนดหลักเกณฑ์ประเมินคุณสมบัติคู่ค้า
  • การลงพื้นที่เยี่ยมชมกิจการ
ด้านสิ่งแวดล้อม
การดูแลสิ่งแวดล้อมและการจัดการของเสีย
  • กำหนดเงื่อนไขในสัญญาจ้างและติดตามตรวจสอบ
  • ตรวจสอบใบประกอบกิจการ (ร.ง.4) ตามประเภทที่รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม

พิจารณาจากระดับโอกาสที่เกิดความเสี่ยง (Likelihood) และความรุนแรงของผลกระทบ (Impact) ซึ่งสามารถกำหนดเกณฑ์ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเพื่อเป็นเป็นพื้นฐานในการประเมินความเสี่ยงต่างๆ ประกอบด้วย 4 ระดับ

โอกาสเกิดและผลกระทบ คำอธิบาย ระดับ
สูงมาก 1 เดือนต่อครั้งหรือมากกว่า / มากกว่า 10 ล้านบาท 4
สูง 1-6 เดือนต่อครั้งแต่ไม่เกิน 5 ครั้ง / มากกว่า 5-9 ล้านบาท 3
ปานกลาง 1-3 ปีต่อครั้ง / 1-4 ล้านบาท 2
น้อย 4-5 ปีต่อครั้ง / ไม่เกิน 1 ล้านบาท 1

การประเมินประสิทธิภาพในการทำงานของคู่ค้า (Supplier’s performance assessment)

บริษัทดำเนินการประเมินประสิทธิภาพของคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่าคู่ค้ามีความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน การประเมินดังกล่าวแบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก ดังนี้

  1. คุณภาพของสินค้าและบริการ: ประเมินจากมาตรฐานของสินค้าและบริการที่ส่งมอบให้กับบริษัท โดยพิจารณาจากความตรงตามสเปก ความสม่ำเสมอของคุณภาพ การรับประกันสินค้า และอัตราการเกิดข้อร้องเรียนหรือของเสียจากการใช้งานสินค้า
  2. การส่งมอบครบถ้วนและตรงเวลา: วิเคราะห์ความตรงต่อเวลาของการจัดส่งตามแผนที่กำหนด รวมถึงความสามารถในการส่งมอบสินค้าและบริการได้ครบถ้วนในแต่ละคำสั่งซื้อ การบริหารจัดการสต็อกและโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพจะเป็นปัจจัยสำคัญในการประเมินด้านนี้
  3. การประสานงานและประสิทธิภาพการบริหาร: ประเมินจากความสามารถในการติดต่อประสานงาน ความรวดเร็วในการตอบสนองต่อปัญหา ความยืดหยุ่นในการปรับตัวต่อสถานการณ์ รวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการโครงการร่วมกับบริษัทอย่างมีระบบและมืออาชีพ
  4. ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม: คู่ค้าต้องมีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคม เช่น การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม การจัดการแรงงานอย่างเป็นธรรม และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม โดยอาจอ้างอิงจากใบรับรอง หรือการผ่านเกณฑ์ประเมินด้าน ESG จากหน่วยงานภายนอก
วิธีการตรวจประเมินคู่ค้า
กลุ่มคู่ค้า การตรวจสอบเอกสารและ การประเมินตนเองผ่านระบบออนไลน์ (Self-assessment) การตรวจประเมิน ณ สถานประกอบการ (Site visit)
กลุ่มคู่ค้าหลัก
กลุ่มคู้ค่ารอง
กลุ่มคู้ค่าทั่วไป
กลุ่มคู่ค่าที่ไม่ได้ทำธุรกิจกับบริษัทโดยตรง

บริษัทดำเนินการประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สำหรับคู่ค้าหลักผ่านการประเมินด้วยตนเองของคู่ค้า (Vendor Self-Assessment) และการเยี่ยมชมพื้นที่การปฏิบัติงาน (On-site Audit) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าคู่ค้าได้ดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม โปร่งใส และสอดคล้องกับกฎหมายแรงงาน สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม ในปี 2567 บริษัทได้ทำการประเมินความเสี่ยงคู่ค้ารายสำคัญ พบว่า ไม่มีคู่ค้ารายสำคัญที่มีความเสี่ยงด้าน ESG

การประเมินความเสี่ยงคู่ค้า
มิติเศรษฐกิจ มิติสังคม มิติสิ่งแวดล้อม
  • ความเสี่ยงจากสถานะและความมั่นคงทางการเงินของคู่ค้า
  • ความเสี่ยงของคู่ค้าที่มีมูลค่าการซื้อขายสูง
  • ความเสี่ยงของการปฏิบัติตามสัญญาและการส่งมอบงาน
  • ความเสี่ยงของเงื่อนไขในการชำระเงิน (Credit Term)
  • ความเสี่ยงจากการใช้แรงงานเด็ก ต่างด้าวผิดกฎหมาย และการละเมิดสิทธิมนุษยชน
  • ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
  • ความเสี่ยงด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชน
  • ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • ความเสี่ยงด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมและการจัดการของเสีย

แพลนบีได้กำหนดกระบวนการระบุคู่ค้าที่สําคัญเป็นประจำทุกปี เพื่อพัฒนากลยุทธ์การบริหารความสัมพันธ์กับคู่ค้า ควบคู่ไปกับการจัดลำดับความสำคัญในการจัดสรรทรัพยากรและการบริหารความเสี่ยง ปัจจัยที่ใช้พิจารณาในการระบุคู่ค้ารายสำคัญ ได้แก่ วุฒิภาวะการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของคู่ค้า เป้าหมายทางธุรกิจของคู่ค้า (และความสอดคล้องกับเป้าหมายของแพลนบี) คู่ค้าที่จำหน่ายวัตถุดิบสำคัญ (Critical Material) คู่ค้าที่ไม่สามารถทดแทนได้ และระดับการพึ่งพาซึ่งกันและกันระหว่างแพลนบีและคู่ค้า ปัจจัยเหล่านี้ทำให้แพลนบีสามารถระบุและบรรเทาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการจัดซื้อจัดหาตลอดห่วงโซ่อุปทานได้

  • ร้อยละ 100 ของคู่ค้ารายสำคัญรับทราบจรรยาบรรณธุรกิจของคู่ค้า

แพลนบีคำนึงถึงปัจจัยด้านความยั่งยืนตลอดกระบวนการจัดซื้อจัดหา และกำหนดให้คู่ค้าต้องปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติสำหรับคู่ค้า และผ่านการคัดกรองอย่างเข้มงวด พิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) รวมถึงกระบวนการตรวจสอบด้านคุณภาพ ซึ่งบังคับใช้กับคู่ค้าของแพลนบีทั้งหมดร้อยละ 100 แพลนบียังกำหนดความยั่งยืนเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาคุณสมบัติคู่ค้า การประกวดราคา และการประเมินผลการปฏิบัติงานของคู่ค้า แพลนบีได้ระบุข้อกำหนดสำหรับคู่ค้ารายสำคัญและคู่ค้ากลุ่มกลยุทธ์ที่ให้มีการบังคับใช้นโยบายสำคัญสำหรับคู่ค้าตนเองให้สอดคล้องกับแพลนบี เพื่อให้มั่นใจว่าคู่ค้าทางอ้อมของแพลนบีปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความยั่งยืนของแพลนบี

  • ร้อยละ 100 ของคู่ค้าทางตรงของแพลนบี (Tier 1 Supplier) รับทราบและยอมรับแนวทางปฏิบัติสำหรับคู่ค้า

บริษัทจัดทำจรรยาบรรณคู่ค้าด้านการจัดซื้อ จัดหา ว่าจ้าง เพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนระหว่างบริษัทและคู่ค้า และเป็นการวางมาตรฐานและแนวปฏิบัติให้แก่คู่ค้าสำหรับการใช้ในการปฏิบัติงานร่วมกับบริษัทตลอดกระบวนการที่ทำงานร่วมกันด้วยความโปร่งใส เท่าเทียม และเป็นธรรม ที่ครอบคลุมแนวปฏิบัติด้านมาตรฐานสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน อาชีวอนามัย และความปลอดภัย รวมทั้งการคำนึงถึงหลักจริยธรรม ทั้งนี้ บริษัทยังสนับสนุนให้คู่ค้าของบริษัทนำหลักการปฏิบัตินี้ไปประยุกต์ใช้กับคู่ค้าของตนเอง เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่คุณค่าและนำไปสู่การสร้างคุณค่ากับคู่ค้าในระยะยาว

บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีความมุ่งมั่นในการให้บริการลูกค้าและคู่ค้าอย่างเป็นธรรม โปร่งใส สอดคล้อง และเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของการกำกับดูแลกิจการ

แพลนบีคำนึงถึงปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสภาพคล่องและการบริหารจัดการวงจรเงินสดของภาคธุรกิจ โดยบริษัทมีนโยบายกำหนดระยะเวลาการชำระเงินแก่คู่ค้าภายใน 30–90 วัน ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า เช่น บริการโฆษณา การผลิตสื่อ เป็นต้น โดยมีหลักเกณฑ์ในการวางบิลและการโอนเงินเพื่อชำระค่าสินค้าสำหรับคู่ค้าทั่วไป ตามรอบระยะเวลาทางบัญชีปกติ

อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขสินเชื่อและระยะเวลาการชำระเงินให้แก่ผู้ขายสินค้า คู่ค้า ผู้รับเหมา ผู้ให้บริการของบริษัทบางราย หรือให้แก่บริษัทย่อยแต่ละแห่ง อาจแตกต่างจากหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ ประเภทของสินค้า วัตถุดิบ และลักษณะการให้บริการ ซึ่งบริษัทและบริษัทย่อยได้ตกลงร่วมกันกับผู้ขายสินค้า คู่ค้า ผู้รับเหมา ผู้ให้บริการ หรือคู่สัญญาแต่ละราย

ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินการตกลงกับคู่ค้าแต่ละรายให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่กำหนด และยึดหลักความเป็นธรรมต่อคู่ค้าทุกราย โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น สภาวะตลาด มาตรฐานอุตสาหกรรม และข้อตกลงทางธุรกิจรายบุคคล

อัตราส่วนสภาพคล่อง ปี 2566 ปี 2567
สภาพคล่อง (เท่า) 1.02 1.20
สภาพคล่องหมุนเร็ว (เท่า) 1.02 1.19
ระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ย (วัน) 108.9 116.6
ระยะเวลาชำระหนี้เฉลี่ย (วัน) 109.8 101.4

ตามนโยบายของบริษัทได้มีการกำหนดระยะเวลาการชำระเงินแก่คู่ค้าไว้ที่ 30-90 วัน ทั้งนี้ ในปี 2566 และ 2567 ระยะเวลาการชำระเงินที่เกิดขึ้นจริงอยู่ที่ 109.8 วัน และ 101.4 วัน ตามลำดับ ซึ่งเกินกว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ในนโยบายเล็กน้อย โดยหลักเกิดจากการที่ลูกค้าบางกลุ่ม โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐ มีการชำระเงินล่าช้าเป็นบางครั้ง อันเนื่องมาจากข้อจำกัดด้านงบประมาณ ขั้นตอนการเบิกจ่ายที่ซับซ้อนตามระบบราชการ หรือภาวะความไม่แน่นอนทางการเมือง

แม้บริษัทจะได้รับผลจากปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือการควบคุมดังกล่าว แต่อัตราส่วนหมุนเวียนลูกหนี้การค้าที่ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทได้ติดตามและบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตอย่างใกล้ชิด ควบคู่กับการรักษาสภาพคล่องอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในทุกสภาวะ

ความมั่นคงปลอดภัยของระบบข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล

บริษัทตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยทางไซเบอร์และเสถียรภาพของเครือข่ายข้อมูล ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมข้อมูลและอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่มีความหลากหลายและซับซ้อน และอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงความน่าเชื่อถือของคู่ค้าและลูกค้าที่มีต่อบริษัท อีกทั้งยังเป็นการให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามกฎหมายทั้งในประเทศและระดับสากลด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันภัยทางไซเบอร์และลดผลกระทบจากการรั่วไหลของข้อมูลสู่สาธารณะที่อาจจะเกิดขึ้นได้ บริษัทจึงให้ความสำคัญในการดำเนินงานตามกฎหมายและมาตรฐานระดับสากลอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งจัดทำนโยบายและแนวปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยอย่างรอบด้าน ดังนี้

1. การจัดทำนโยบายความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ

บริษัทจัดทำนโยบายความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศโดยขอบเขตการบังคับใช้นั้นครอบคลุมถึงพนักงานและผู้ที่เกี่ยวข้องที่ปฏิบัติงานในนามของบริษัท นโยบายฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกรอบในการกำหนดแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศของบริษัท เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดกฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง โดยสาระสำคัญของนโยบาย ได้แก่

  • โครงสร้างความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศของบริษัท
  • ความปลอดภัยของบุคลากรและการบริหารจัดการทรัพย์สินข้อมูล
  • การควบคุมการเข้าถึงระบบและข้อมูล
  • การเข้ารหัสข้อมูล และการจัดการสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ
  • การบริหารจัดการเหตุการณ์ความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ
  • การบริหารจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCM)

โดยนโยบายฉบับนี้จะได้รับการทบทวนและกำหนดให้มีการตรวจสอบความสอดคล้องตามข้อกำหนดโดยผู้ตรวจรับทั้งภายในและภายนอก

2. การจัดทำแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจและแผนการกู้คืนข้อมูลทางสารสนเทศ เพื่อให้มั่นใจในความพร้อมทางข้อมูลและการบริหารหลังจากการหยุดชะงักที่อาจเกิดขึ้นกับกระบวนการทางธุรกิจที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง

3. การจัดอบรมหลักสูตร “Cyber Securities & วิธีการป้องกันและการแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์เบื้องต้น” ให้แก่พนักงานในองค์กรทุกปี เพื่อให้พนักงานมีความรู้และความตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยทางไซเบอร์, ภัยไซเบอร์ และวิธีป้องกันและการแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์เบื้องต้น โดยในปี 2567 ที่ผ่านมามีการจัดอบรมดังกล่าวขึ้นในรูปแบบออนไลน์ และมีผู้เข้าร่วมอบรมทั้งสิ้น 100 คน

4. การให้ความคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูลของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ทั้งลูกค้า พนักงาน คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และผู้ถือหุ้น นับเป็นสิ่งหนึ่งที่แพลนบีให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยบริษัทได้จัดทำนโยบายความเป็นส่วนตัวเพื่อประกาศแจ้งการให้ความคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลขององค์กรให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ตลอดจนมีการจัดการฝึกอบรมเกี่ยวกับข้อกำหนดในกฎระเบียบดังกล่าวเพื่อเพิ่มความตระหนักรู้แก่พนักงาน และบริษัทได้มีการจัดหลักสูตรอบรมดังกล่าวแก่คณะกรรมการบริษัทได้เตรียมพร้อมและเพิ่มพูนความรู้ให้พร้อมสำหรับการบังคับใช้กฎหมายอีกด้วย ทั้งนี้ แพลนบีจะใช้ข้อมูลของลูกค้าเพื่อวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งไว้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวและ/หรือที่ได้รับความยินยอมสำหรับวัตถุประสงค์ที่กฎหมายกำหนดให้ต้องได้รับความยินยอมเท่านั้น

ผลการดำเนินงาน

บริษัทมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบและการบริหารจัดการความปลอดภัยของข้อมูลมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถป้องกันการละเมิดข้อมูลได้อย่างสมบูรณ์ร้อยละ 100 ตามเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการรั่วไหลของข้อมูล การโจรกรรม หรือการสูญหายของข้อมูล

ผลการดำเนินงาน ปี 2565 ปี 2566 ปี 2567
จำนวนคำร้องเรียนจากบุคคลภายนอกองค์กรและได้รับการยืนยันจากบุคคลในองค์กร 0 0 0
จำนวนคำร้องเรียนจากหน่วยงานกำกับดูแล 0 0 0
จำนวนกรณีที่ข้อมูลของลูกค้ารั่วไหล ถูกโจรกรรมหรือสูญหาย 0 0 0
นโยบายและแนวปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสีย